7
Marchบริหารเงินช่วงเจ็บไข้ ต้องทำยังไงนะ
เรื่องความเจ็บป่วย ไม่เข้าใครออกใครหรอกนะ ที่ผ่านมา หลาย ๆ คนก็เข็ดกับเจ้าโควิด – 19 ที่คนติดกันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่เจ็บป่วยทางร่างกายยังพอรักษาให้หายได้ ผลกระทบเต็ม ๆ อยู่กับเราแต่การเจ็บป่วยทางการเงินไม่เพียงแต่ส่งผลต่อเรา ๆ แต่ยังส่งผลถึงคนรอบข้างอีกด้วย ยิ่งถ้าเพื่อน ๆ เป็นกำลังหลักในการหาเงินเลี้ยงครอบครัวแล้วล่ะก็ คงไม่มีใครอยากให้ตัวเองเจ็บป่วยแน่นอน เพราะนั่นหมายถึงรายได้ที่ลดน้อย ถอยลง แต่เมื่อเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้ จะดีกว่าไหม ถ้าเราเตรียมตัว รู้วิธีดูแลเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เพื่อให้ช่วงที่เราเจ็บป่วยนั้น สุขภาพการเงินของเรานั้นจะไม่เจ็บป่วยไปด้วย
วันนี้มูลาขออาสานำวิธีการดูแลเรื่องการเงิน ในขณะที่เราเจ็บป่วยมากฝากเพื่อน ๆ กันนะ
- ประเมินสุขภาพทางการเงินของตัวเอง
ไม่ว่าในเวลาปกติที่เราแข็งแรงดี หรือในเวลาที่เราเจ็บป่วย หากเราจะจัดการเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ก็ย่อมหนีไม่พ้นการตรวจเช็คสถานะทางการเงินของเรา โดยมูลาจะขอแบ่งดังนี้
ฝั่งรายได้ : ดูว่าเรามีเงินเก็บอยู่เท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินสำรองฉุกเฉิน อ้างอิงจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พนักงานที่มีรายได้ประจำนั้น ควรมีเงินสำรองฉุกเฉิน 3 – 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน แต่ถ้าหากเป็นฟรีแลนซ์ ประกอบอาชีพอิสระ แนะนำว่าควรมีเงินสำรองฉุกเฉินมากกว่า 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือนเลยล่ะ นอกจากนี้เพื่อน ๆ อาจลองสำรวจสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ง่าย ๆ เช่น เงินฝากประจำ ทองคำ เป็นต้น
ฝั่งรายจ่าย : ดูว่าเรามีหนี้สินอยู่เท่าไหร่ และสามารถหาวิธีจัดการในช่วงเจ็บป่วยได้อย่างไรบ้าง
เมื่อเราเข้าใจสถานะทางการเงินของตนเองแล้ว เราก็จะสามารถตัดสินใจเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ได้ถูกต้องและเหมาะสมขึ้นนั่นเอง
- มองหาตัวช่วยเหลือจากภาครัฐ
หากเพื่อน ๆ เป็นพนักงานประจำแล้วล่ะก็ จะต้องคุ้นชินกับประกันสังคมแน่ ๆ เพราะว่าเป็นเงินที่เรา ๆ ถูกหักออกไปจากเงินเดือน พร้อมเงินสมทบจากนายจ้าง เพื่อให้เรามีเงินก้อนเมื่อยามเกษียณนั่นเอง แต่ใช่ว่าทุกคนจะใช้ประโยชน์จากเงินประกันสังคมได้อย่างเต็มที่ งั้นมูลาขอทบทวนสิทธิประโยชน์จากประกันสังคมที่เราสามารถใช้ได้ เมื่อยามเจ็บป่วยให้เพื่อน ๆ กันนะ
1) ทำฟันฟรี หมายรวมถึงการอุดฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูน ผ่าฟันขุด ในวงเงินปีละ 900 บาท
2) เมื่อเจ็บป่วย สามารถรักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
3) เมื่อเจ็บป่วย สามารถรับเงินทดแทนกรณีขาดรายได้ ร้อยละ 50 ของค่าจ้างจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท โดยรับครั้งละไม่เกิน 90 วัน ปีละไม่เกิน 180 วัน
4) เมื่อคลอดบุตร ได้รับค่าคลอดบุตรเหมาจ่ายอยู่ที่ 15,000 บาท โดยไม่จำกัดจำนวนครั้งและยังได้เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อคลอดบุตรร้อยละ 50 ของค่าจ้าง เฉลี่ย 90 วัน ไม่เกิน 2 ครั้ง
นอกจากนี้ ประกันสังคมยังมีสิทธิประโยชน์เรื่องการตรวจสุขภาพประจำปีกับโรงพยาบาลที่ร่วมรายการอีกด้วย เช่น ตรวจมะเร็งปากมดลูก สำหรับผู้ประกันที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ตรวจการทำงานของไต สำหรับผู้ประกันตนที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป เป็นต้น
แม้ว่าบางข้ออาจจะไม่ใช่เงินจำนวนมาก แต่อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยแบ่งเบาภาระของเพื่อน ๆ ในช่วงที่ไม่สบายได้แน่ ๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อน ๆ สามารถเช็คสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนแบบเต็ม ๆ ได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคมได้เลยที่ https://www.sso.go.th
- มองหาตัวเลือกประกันสุขภาพ
หากเพื่อน ๆ คิดว่าลำพังเงินประกันสังคมอาจจะยังไม่เพียงพอ เพื่อน ๆ สามารถลองดูตัวเลือกอื่น ๆ เช่น ประกันสุขภาพ ซี่งสามารถครอบคลุมได้มากกว่า แต่ก็แลกมากับค่าประกันที่สูงกว่าเงินประกันสังคมนั่นเอง
เพื่อน ๆ บางคนอาจจะโชคดีขึ้นมากอีกนิด เพราะหลายโรงงาน หรือสำนักงาน ก็มีการทำประกันสุขภาพแบบกลุ่มเพื่อพนักงาน ทำให้คนทำงานอย่างเรา ๆ โล่งใจมากขึ้นเวลาที่เจ็บป่วยแล้วต้องรักษาในโรงพยาบาล หลายที่ นายจ้างเปิดโอกาสให้ลูกจ้างสามารถซื้อแพกเกจความคุ้มครองเพิ่มเติมจากประกันสุขภาพแบบกลุ่มที่บริษัททำให้อีกด้วยนะ ก็เลยไม่จำเป็นต้องไปเสาะหาประกันสุขภาพอื่นอีกเลย
เมื่อเรามีประกันสุขภาพหลาย ๆ ทางแล้วล่ะก็ อย่าลืมศึกษาเงื่อนไขความคุ้มครอง และสิทธิประโยชน์ เพื่อเราจะสามารถใช้ประโยชน์จากกรมธรรม์ต่าง ๆ ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยนะ
- จ่ายค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเท่านั้น
เมื่อเจ็บป่วยจนต้องหยุดทำงาน ใช่ว่าค่าใช้จ่ายจะหยุดตามเราเสียเมื่อไหร่ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็ยังมีต่อไปนั่นเอง เป็นหน้าที่ของเรา ๆ ที่ต้องดูว่า มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่จำเป็น หรือไม่จำเป็นในชีวิต ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในชีวิตเช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าที่อยู่อาศัย และอื่น ๆ อาจจะต้องพักการจ่ายอะไรที่ไม่จำเป็น ความบันเทิงต่าง ๆ เช่น ค่าดูเน็ตฟลิกซ์ ค่าโทรศัพท์ที่แพงเกินความจำเป็น เป็นต้น
ซึ่งเราสามารถลองดูเช็คค่าใช้จ่ายได้ง่าย ๆ จากบันทึกรายรับรายจ่ายที่เพื่อน ๆ หลายคนมีแล้วนั่นเอง
- หาทางผ่อนผันหนี้
น่าเศร้าที่เมื่อเจ็บป่วย เรายังมีหนี้ที่ต้องใช้จ่าย มูลาขอแนะนำว่า หากเป็นไปได้ เพื่อน ๆ ลองต่อรองผ่อนผันหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ ขอพักชำระเงินต้น และตัวเลือกอื่น ๆ ที่เราอาจจะต่อรองกับเจ้าหนี้ได้นั่นเอง ไม่ใช่เจ้าหนี้ทุกคนที่ใจไม้ไส้ระกำ ไม่ยอมช่วยเหลือลูกหนี้หรอกนะ หลายครั้งที่เจ้าหนี้เห็นอกเห็นใจ เพราะเป้าหมายของเจ้าหนี้จริง ๆ แล้วคือการที่ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้ครบถ้วน ใช่ว่าจะมายึดบ้าน ยึดรถหรือทำร้ายร่างกายลูกหนี้อย่างเดียวเสียเมื่อไหร่
- มองหาความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง
ใช่ว่าเราจะอยู่คนเดียวบนโลก มูลาเชื่อว่า ทุก ๆ คนต่างก็มีครอบครัว หรือเพื่อนที่รักและเป็นห่วงเราด้วยกันทั้งนั้น เป็นไปได้ไหมที่เราอาจจะขอความช่วยเหลือที่ไม่จำเป็นต้องขอเงินเสมอไป อาจเป็นการขอคำแนะนำ ขอให้ช่วยเรื่องหยูกยา หรือเรื่องอื่นๆ ที่คนรอบข้างยินดีจะช่วยคนที่ไม่สบายได้ แต่ใช่ว่า มูลาจะแนะนำให้เพื่อนมัวแต่ขอ จนไม่ขวนขวายหรือพยายามแก้ปัญหาด้วยตนเองหรอกนะ เพราะอย่าลืมว่า เมื่อเราหายป่วยแล้ว เราก็คงอยากรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบข้างเหล่านั้นอยู่ใช่ไหมล่ะ
แน่นอนว่า ไม่มีใครอยากเจ็บป่วย แต่เมื่อเรารู้ว่าเราจะต้องเจ็บป่วยในวันใดวันหนึ่ง เราก็ควรวางแผน เตรียมการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีที่มูลาแนะนำมาวันนี้ มูลาเชื่อว่า ความเจ็บป่วยจะสามารถทำร้ายสุขภาพทางการเงินจนไม่เหลืออะไร ถ้ามีการวางแผนเตรียมตัวมาอย่างดี และได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้าง แต่จะดีที่สุดเลย ถ้าเราไม่ป่วย เพราะฉะนั้นอย่าลืมดูแลสุขภาพของตัวเองกันด้วยนะ
ที่มา:
https://www.sso.go.th/wpr/assets/upload/files_storage/sso_th/51b431e05a9d7810986233dc0ea0f1e0.pdf
https://www.sso.go.th/wpr/assets/upload/files_storage/sso_th/58fa3cc4cc8bcfda6c268e98b60834f1.pdf
https://www.sso.go.th/wpr/assets/upload/files_storage/sso_th/34631f7ec0624541ae683be40d8cf64e.pdf
บทความ: MULA Learning
รูปประกอบ: MULA Learning