Global searching is not enabled.
Skip to main content

Blog entry by Anuntapong Chuen-im

สื่อสารอย่างไรให้เข้าใจลูกวัยรุ่น

สื่อสารอย่างไรให้เข้าใจลูกวัยรุ่น

การสื่อสารที่ดีเป็นส่วนประกอบสำคัญของความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม เช่น ความสัมพันธ์แบบเพื่อน แบบคนรัก หรือแบบครอบครัวที่หลาย ๆ คนอาจมองข้าม ยิ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกแล้ว การสื่อสารที่ดี เหมาะสมยิ่งเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ควรให้ความสำคัญ เมื่อลูกยังเล็ก ลูก ๆ อาจจะไม่ได้เจอสภาพแวดล้อมภายนอกเท่าไหร่ จึงเห็นพ่อแม่และครอบครัวเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุด และสามารถสื่อสาร บอกความต้องการต่าง ๆ ได้โดยง่าย แต่เมื่อลูก ๆ เริ่มโตเป็นวัยรุ่น พวกเขาก็ต้องพบเจอกับสังคมที่กว้างมากขึ้น รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจ ที่อาจทำให้เด็ก ๆ รู้สึกว่ามีช่องว่างในการสื่อสารกับพ่อแม่ บทความวันนี้มูลาจะขอบอกเล่าวิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพกับลูก ๆ ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น เผื่อว่าครอบครัวไหนกำลังเผชิญความท้าทายในเรื่องนี้จะนำไปใช้ได้

 

ประโยชน์ของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างพ่อแม่และลูก

ก่อนที่เราจะเรียนรู้วิธีการสื่อสารที่ดีนั้น มาลองดูกันก่อนดีกว่า ถ้าเราสื่อสารได้ดี พูดคุยเรื่องต่าง ๆ อย่างเปิดใจระหว่างพ่อ แม่ ลูกได้ จะเกิดผลดีอย่างไรบ้าง

1. เด็ก ๆ เชื่อมั่น เชื่อใจในครอบครัว

ในช่วงวัยรุ่นที่เด็ก ๆ จะต้องเจอความท้าทาย ปรับตัวเข้าสังคมใหม่ ๆ หลาย ๆ ครั้งที่เด็ก ๆ เลือกหันหน้าไปปรึกษาคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นครูอาจารย์ หรือกลุ่มเพื่อน ไม่ใช่ทุกคนรอบตัวเด็ก ๆ จะเข้าใจและเสนอทางออกที่เหมาะสมกับเด็ก ๆ ได้ จะดีกว่าไหมที่เราจะให้เด็ก ๆ เกิดความเชื่อใจในตัวพ่อแม่ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็พร้อมเล่าและปรึกษาคนในครอบครัว

2. เด็ก ๆ มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

เมื่อเด็ก ๆ สามารถสื่อสาร บอกเล่าอารมณ์ ความรู้สึก ความกังวลกับพ่อแม่ผู้ปกครองได้อย่างสบายใจ เด็ก ๆ จะรู้สึกปลอดภัย มีกำลังใจจัดการปัญหาหรือความท้าทายต่าง ๆ ได้มากขึ้น และทำให้เด็ก ๆ เป็นคนที่มีความมั่นคงทางจิตใจและมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นตามลำดับ

3. เด็ก ๆ มีโอกาสทำพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงน้อยลง

เมื่อเด็ก ๆ กล้าเล่าปัญหา สิ่งที่ตัวเองคิดและทำกับพ่อแม่แล้ว ก็มักจะได้คำแนะนำและวิธีการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม เด็ก ๆ จึงมีโอกาสทำเรื่องที่มีความสุ่มเสี่ยงน้อยลงนั่นเอง

 

            เคล็ดลับการสื่อสารอย่างเข้าใจวัยรุ่น

1. ฟังอย่างตั้งใจ อย่ารีบตอบ

พอพูดถึงเรื่องการสื่อสาร พ่อแม่หลายคนอาจนึกถึงว่า จะพูดอย่างไร พูดแบบไหน แต่การฟังอย่างตั้งอกตั้งใจเป็นเรื่องพื้นฐานที่จำเป็น รูปแบบการฟังที่ว่าคือ การฟังอย่างตั้งใจ ไม่ทำอย่างอื่นขณะฟัง และไม่พูดแทรกเพื่อให้เด็ก ๆ จะเล่าเรื่อง ความรู้สึกนึกคิดตัวเองอย่างเต็มที่ เก็บคำแนะนำไว้ทีหลัง หากเรารีบแนะนำไปโดยที่ฟังไม่จบ เราอาจจะไม่เข้าใจเรื่องราวความกังวลของลูกจริง ๆ ได้ การฟังรูปแบบนี้คือการฟังแบบที่ไม่รีบตัดสิน หรือท่าทีวิตกกังวลกับเรื่องที่ลูก ๆ กำลังพูด พ่อแม่ควรให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของลูก เพื่อให้พวกเขาเห็นว่าความรู้สึกนึกคิดของเขาก็มีความหมาย ในทางเดียวกัน เด็ก ๆ ก็จะเรียนรู้ที่จะรับฟังและเห็นความสำคัญของความคิดเห็นของพ่อแม่เช่นกัน

2. เมื่อไม่เข้าใจอะไร ให้ถามเพื่อยืนยัน

พ่อแม่หลายคนด่วนสรุปว่าลูกทำเรื่องแบบไหน และด่วนตัดสิน จนทำให้เด็ก ๆ ไม่พอใจและไม่อยากพูดคุยกับพ่อแม่ หากผู้ปกครองไม่เข้าใจส่วนไหนที่เด็ก ๆ เล่า ก็ควรถามเพื่อยืนยัน เช่น เมื่อกี้หนูพูดว่าหนูทำแบบนี้กับเพื่อนใช่ไหม หรือ ที่หนูทำแบบนี้ลงไปเพราะหนูรู้สึกโกรธใช่ไหม ทำให้เราเข้าใจเรื่องราว วิธีการคิดและการแก้ปัญหาของลูก ๆ มากยิ่งขึ้น รวมทั้งการถามคำถามปลายเปิดเพื่อให้เด็ก ๆ เล่าอย่างละเอียดมากขึ้น เช่น ทำไมหนูถึงรู้สึกโกรธเพื่อน เป็นต้น

3. อยู่เป็นกำลังใจให้ลูก แม้ลูกจะไม่อยากเล่าในบางเรื่อง

คนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของลูกในทุกวัน หากตอนไหนเราเห็นว่าลูกดูเครียด ไม่สดใสหรือดูมีความกังวลอะไร แม้จะไม่ได้บอกเล่าให้พ่อแม่ คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถแสดงตัวให้ลูก ๆ เห็นว่า ไม่ว่าเขาจะกำลังเจอปัญหาอะไร ก็จะอยู่เคียงข้างและให้คำปรึกษาเมื่อลูกต้องการ อย่างน้อยถ้าลูกไม่ได้คำแนะนำจากเรา ลูก ๆ ก็ควรรู้สึกปลอดภัยและเชื่อใจพ่อแม่ว่าอยู่ข้าง ๆ เขาเสมอ บางเรื่องยิ่งเซ้าซี้ มัวแต่ถามหาคำตอบ เด็ก ๆ จะรู้สึกไม่ดี และอยากอยู่ห่างจากพ่อแม่มากกว่าเดิม

4. หลีกเลี่ยงการโต้เถียงในเรื่องที่ผ่านมาแล้ว

แม้บางเรื่อง คุณพ่อคุณแม่อยากเก็บมาสอนลูกเป็นบทเรียน หลายครั้งกลายเป็นการโต้เถียง แต่ควรเข้าใจว่าไม่มีใครจำรายละเอียดในเรื่องที่ผ่านมาแล้วได้เต็ม 100% หากจะถามหารายละเอียดเหล่านั้นแบบครบถ้วนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย คุณพ่อคุณแม่จำเรื่องอีกแบบ ส่วนคุณลูกก็อาจจะจำอีกแบบก็ได้ สุดท้ายจะกลายเป็นเรื่องที่พ่อแม่ลูกต้องมาเถียงกันเปล่า ๆ

5. ปิดความกังวลในหัว

มีหลายบ้านที่เป็นห่วงลูก ดูแลลูกอย่างเป็นไข่ในหิน กลัวว่าลูกจะเจอเรื่องร้าย ๆ และพร้อมจะกระโดดไปช่วยทันที แม้ว่าเด็ก ๆ อาจจะไม่ได้ร้องขอ เมื่อลูก ๆ กำลังเล่าเรื่องที่ทำให้เรากังวล เรามักจะคิดเลยเถิด คิดไปถึงความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นโดยทันที เช่น เมื่อลูกบอกว่า สอบวิชาคณิตศาสตร์ไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่เคยทำได้ดีมาตลอด คุณพ่อคุณแม่อาจคิดไปว่า เด็ก ๆ จะต้องสอบตกแน่ หรือเด็ก ๆ มีปัญหาในโรงเรียนและไม่ยอมบอกหรือเปล่า ทำให้ต้องซักไซ้ไล่เรียงจนเป็นเรื่องใหญ่โต แบบนี้ยิ่งทำให้เด็ก ๆ เกิดความกังวลมากขึ้นไปอีก แถมพ่อแม่จะดูเหมือนเป็นคนจุ้นจ้านสำหรับเด็ก ๆ เลยก็ได้

6. ให้คำแนะนำอย่างสร้างสรรค์

ไม่ว่าเด็ก ๆ จะเลือกแก้ปัญหาอย่างไร จะดูเข้าท่าสำหรับเราหรือไม่ การดุด่าว่ากล่าวไม่ได้ทำให้เด็ก ๆ เข้าใจวิธีการที่ถูกต้องหรือความตั้งใจดีของเราแต่อย่างใด คุณพ่อคุณแม่ควรให้คำแนะนำ หรือบอกสิ่งที่เด็ก ๆ ควรทำอย่างสร้างสรรค์ คำพูดในเชิงบวกกับเด็ก ๆ เมื่อเป็นไปได้

 

 เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับคำแนะนำในการสื่อสารให้เข้าอกเข้าใจลูก ๆ วัยรุ่นจากมูลาในวันนี้ นอกจากนี้การสื่อสารอย่างเข้าใจนี้ไม่ควรทำเฉพาะเมื่อเด็ก ๆ เจอปัญหา แต่เรื่องราวดี ๆ หรือหัวข้อพูดคุยที่ทำให้บรรยากาศในบ้านดีขึ้นก็เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญเช่นกัน มูลาเชื่อว่าหากนำคำแนะนำเหล่านี้ไปปรับใช้ ความสัมพันธ์ในบ้านระหว่างพ่อแม่ลูกจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

https://www.unicef.org/parenting/child-care/11-tips-communicating-your-teen

https://parentandteen.com/keep-teens-talking-learn-to-listen/

https://www.psychologytoday.com/us/blog/understanding-hypnosis/202211/improving-communication-between-teens-and-parents

 

บทความ: MULA Learning
รูปประกอบ: MULA Learning

  • Share