Global searching is not enabled.
Skip to main content

Blog entry by Anuntapong Chuen-im

เป็นมือใหม่ก็ออมเงินอย่างเห็นผล ด้วยการจัดงบแบบ 60%

เราทั้งหลายต่างรู้ดีว่าการจะเปลี่ยนแปลงตัวเองจากคนที่ใช้จ่ายตามใจตัวเอง ให้หันมาเก็บเงิน ควบคุมการใช้เงิน แถมยังต้องมานั่งจัดสรรเงิน แบ่งเงินเป็นกอง ๆ ตามการใช้จ่ายนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย เพราะนอกจากจะมีหลายสิ่งที่ต้องทำแล้ว ยังต้องมานั่งคำนวณนั่นนี่เต็มไปหมด น่าปวดหัวเสียเหลือเกิน

 

ทั้งนี้เหล่าวิธีการที่เรามักเจอตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ก็ไม่ต่างกัน เพราะส่วนใหญ่แล้วเทคนิคเหล่านั้นก็แสนจะซับซ้อน แถมยังนำมาใช้จริงได้ยากอีกด้วย เพราะต้องมีวินัยในการบังคับตัวเองสูงมาก ๆ ซึ่งทำให้มือใหม่อย่างเรายอมแพ้ไปโดยปริยาย

 

แต่ทว่าปัญหาเรานี้จะหมดไป เพราะพระเอกขี่ม้าขาวอย่างเรามาช่วยคุณแล้ว!

 

โดยเทคนิคที่เราภูมิใจนำเสนอในวันนี้ก็คือ “การจัดงบแบบ 60%” ซึ่งถือเป็นวิธีการดูแลเงินของเราที่ไม่ซับซ้อน เพราะเกิดขึ้นจากการย่อยวิธีการที่แสนจะยากเย็น ให้ง่ายยิ่งขึ้น ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ นั่นจึงเหมาะกับมือใหม่อย่างเรา ๆ ในการนำไปทดลองใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องมานั่งเครียด หรือนั่งปวดหัว

 

ถ้าพร้อมแล้วล่ะก็ ไปดูกันเลยดีกว่า

 

การจัดงบแบบ 60% คืออะไร?

การจัดงบแบบ 60% นั้นเป็นเทคนิคที่คิดค้นขึ้นจากการมองเห็นถึงความยากลำบากของการจัดการเงินในกระเป๋ารูปแบบต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดการตั้งคำถามที่ว่า “เรามีวิธีบริหารเงินที่ง่าย และมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่?” เพราะโดยปกติแล้วเทคนิคบริหารการเงินทั้งหลายที่เราใช้ ๆ กันมักจะมีรายละเอียดยิบย่อยมากเกินจำเป็น และต้องคำนวณเงินที่มีทุกบาททุกสตางค์เลยก็ว่าได้ แต่ทว่าการจัดงบแบบ 60% นั้นต่างออกไป เพราะเราสามารถจัดกรอบการเงินของเราได้ง่าย ๆ แถมยังไม่ต้องมานั่งคิดถึงเงินทุกเม็ดแบบละเอียดยิบอีกด้วย

 

โดยหัวใจหลักของการจัดงบแบบ 60% คือการป้องกันไม่ให้ใช้จ่ายเกินตัวซึ่งท้ายที่สุดจะนำไปสู่การสร้างหนี้ โดยหันมามองทั้งสิ่งฟุ่มเฟือยเล็ก ๆ น้อย ๆ และเรื่องไม่คาดคิดต่าง ๆ ที่มักจะเป็นต้นเหตุของหนี้ทั้งหลาย ทั้งยังออกแบบให้เราสามารถรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี รวมไปถึงชีวิตวันข้างหน้าในวัยเกษียณอีกด้วย

 

ซึ่งสิ่งที่เราต้องทำสำหรับการจัดงบแบบ 60% นั้นก็คือจัดสรรงบประมาณ 60% ของรายได้ของเราให้กับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น และคงที่ (ค่าใช้จ่ายที่เท่า ๆ กันในแทบทุกเดือน) ส่วนอีก 40% ก็เป็นเงินสำหรับค่าใช้จ่ายทุกสิ่งทุกอย่างที่เหลือ ง่ายมากเลยใช่ไหมล่ะ?

 

ทำอย่างไรให้การจัดงบแบบ 60% นั้นประสบความสำเร็จ

แม้การจัดงบแบบ 60% นั้นจะสอนให้เราแบ่งเงินเป็นกองใหญ่ ๆ สองกอง นั่นก็คือ 60% ของรายได้สำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น และ 40% สำหรับค่าใช้จ่ายทุกสิ่งทุกอย่างที่เหลือ แต่เพื่อให้เพื่อน ๆ สามารถนำหลักการนี้ไปใช้งานได้ง่าย และเห็นผลมากยิ่งขึ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องแบ่งกองใหญ่ทั้งสองให้ละเอียดขึ้นอีกสักหน่อย โดยแต่ละกองนั้นมีรายละเอียดดังนี้

 

  1. 60% สำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น
    เงินกองนี้ของเราควรมุ่งเน้นไปที่ภาระผูกพันหรือค่าใช้จ่ายคงที่ ซึ่งหากให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ค่าใช้จ่ายส่วนนี้คือค่าใช้จ่ายที่ไว้ใช้สำหรับสิ่งพื้นฐานที่คุณต้องจ่ายเพื่อความอยู่รอด โดยค่าใช้จ่ายที่จำเป็นนั้นรวมถึงค่าเดินทาง อินเทอร์เน็ต ค่าประกันต่าง ๆ  ค่าสาธารณูปโภค ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายสำหรับที่อยู่อาศัย ทั้งนี้เราไม่จำเป็นต้องให้เงินกองนี้นั้นอยู่ที่ 60% เป๊ะ ๆ ก็ได้ แต่การทำให้ใกล้เคียงกับ 60% ของรายได้รวมก็ถือเป็นเรื่องที่ดี
  2. ทั้งนี้ส่วนที่เหลืออีก 40% จะถูกแบ่งออกเป็นทั้งสิ้น 4 ส่วน โดยถัวเฉลี่ยง่าย ๆ ส่วนละ 10% ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
  3. 10% สำหรับการออมเพื่อการเกษียณ
    พูดถึงการ “วางแผนเกษียณ” แล้ว หลาย ๆ คนอาจจะมองมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไกลตัวมาก ก็กว่าจะถึงวัย 60+ คงอีกนานเลยใช่ไหมล่ะ แต่แท้ที่จริงวัยเกษียณนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ตามไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ยังไงสักวันช่วงเวลาเหล่านั้นก็ต้องมาถึง แถมยังเป็นช่วงเวลาที่เราไม่สามารถหาเงินได้ และต้องใช้แต่เงินเก็บเสียด้วยสิ ฉะนั้นในวันที่ยังมีทั้งแรงกาย และแรงใจ การกันเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับการเกษียณถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก ซึ่งการจัดงบแบบ 60% นั้นไม่สามารถมองข้ามเรื่องสำคัญเรื่องนี้ไปได้อย่างแน่นอน
  4. 10% สำหรับการลงทุนระยะยาว
    หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ฝันอยากมีเงินก้อนโต นอกจากวิธีการสุดคลาสสิกอย่างการประหยัดการใช้จ่าย และการเก็บหอมรอมริบแล้ว อีกหนึ่งหนทางที่จะช่วยให้คุณไปถึงฝั่งฝันก็คือ ‘การลงทุน’ นั่นเอง ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องลงทุนทีละมาก ๆ ในครั้งเดียว แต่การค่อย ๆ ลงทุนทีละเล็กละน้อยก็จะส่งผลดีในระยะยาวเช่นเดียวกัน ฉะนั้นห้ามลืม 10% สำหรับเงินกองนี้เชียวล่ะ
  5. 10% สำหรับการเงินฉุกเฉิน
    เรื่องไม่คาดคิดนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะจากทั้งพิษเศรษฐกิจ การเมืองที่ไม่มั่นคง หรือแม้แต่อุบัติเหตุต่าง ๆ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ล้วนแต่จะกระทบกับเงินในกระเป๋าของเราทั้งนั้น ฉะนั้นหากเรามีการกันเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้ทุก ๆ เดือนเพื่อรับมือกับเรื่องเหล่านี้ก็สามารถทำให้การใช้จ่ายในภาพรวมของเราลื่นไหว ไม่ติดขัด และไม่ส่งผลร้ายในระยะยาวนั่นเอง
  6. 10% สำหรับความสนุก และความบันเทิง
    หาเงินมาทั้งที จะให้ใช้แต่กับเรื่องที่จำเป็นก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องซะทีเดียว เพราะการกันเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้ให้เราหาความบันเทิงให้ตัวเองบ้างนั้นเปรียบเสมือนการเติมไฟให้เรามีพลังใจในการทำงานต่อได้อย่างดีเลยทีเดียว ดังนั้นเพื่อน ๆ อย่าลืมหาเวลาไปหาความสุขให้ตัวเองด้วยนะ แม้จะเล็กน้อย แต่ว่าก็ดีกว่าไม่มีความสุขเลยถูกมั้ยล่ะ

 

สุดท้ายนี้ เมื่อเพื่อน ๆ ก็มีเทคนิคที่ง่าย และไม่ซับซ้อนแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ “การลงมือทำ” นั่นเอง เพราะหากเราไม่เริ่มลงมือทำเสียตั้งแต่วันนี้ ความมั่นคงของวันข้างหน้าก็ไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

บทความ: MULA Learning
รูปประกอบ: MULA Learning

  • Share