การค้นหาแบบครอบคลุมทั้งหมดยังไม่ได้เปิดใช้งาน
ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Blog entry by Anuntapong Chuen-im

มารู้จักกับ “การถือหุ้น” แบบทะลุปรุโปร่ง

มารู้จักกับ “การถือหุ้น” แบบทะลุปรุโปร่ง

หนึ่งในการลงทุนสุดคลาสิกที่ใครหลาย ๆ คนต้องเคยได้ยินมาสักครั้งหนึ่งในชีวิตนั้นก็คือ “หุ้น” นั่นเอง เพราะว่าไม่ว่าจะพี่ ป้า น้า อา เจ้านาย ญาติข้างบ้าน หรือใคร ๆ ต่างก็ “เล่นหุ้น” กันทั้งนั้น มีแต่คนพูดถึงหุ้นเต็มไปหมด ซึ่งจากคำบอกเล่าแบบปากต่อปากดังข้างต้นนี่แหละได้ทำให้มีคนไม่น้อยที่เมื่อรู้สึกว่าอยากจะลงทุนอะไรสักอย่าง การเล่นหุ้นจึงถือเป็นตัวแรก ๆ เลยก็ว่าได้

 

แต่ทว่าวงการของหุ้นอาจจะไม่สวยหรูอย่างที่เราคิด เพราะทุกการลงทุนนั้นมีความเสี่ยงเสมอ หากไม่ศึกษาให้ดีแล้วล่ะก็ มันอาจจะส่งผลให้เราเสียโอกาสโดยไม่รู้ตัว

 

ฮั่นแน่! เราไม่ได้ทำให้ใครแถว ๆ นี้เครียดใช่ไหม? บอกได้เลยว่าเพื่อน ๆ ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด เพราะวันนี้เราพร้อมมาช่วยชี้แจงแถลงไขแล้ว เพราะฉะนั้นอย่างรอช้า เรามารู้จักกับหุ้นแบบทะลุปรุโปร่งกันเลยดีกว่า!

 

อะไรคือ... การถือหุ้น?

ก่อนที่เราจะไปพูดถึงการถือหุ้น เราต้องรู้จักคำว่าหุ้นเสียก่อน โดย หุ้น หรือ Stock นั้นถือเป็นตราสารรูปแบบหนึ่งที่กิจการอย่างบริษัทมหาชนจะออกให้แก่บุคคลอย่างเรา ๆ นั่นแปลว่าเจ้าหุ้นเนี่ย ไม่ใช่แค่ตัวเลขราคา ที่วิ่ง ๆ ให้ซื้อขาย แต่เบื้องหลังของมันยังมีกิจการที่ดำเนินงานอยู่ และเมื่อเราได้ครอบครองหุ้นนี้แล้ว เราจะถูกเรียกว่า ผู้ถือ (Holder) หรือภาษาชาวบ้านก็ผู้ถือหุ้นนั่นแหละ

 

ซึ่งหากให้พูดง่าย ๆ เจ้า “หุ้น” ที่ว่านี้ แท้ที่จริงมันก็คือการเข้าไปเป็น “หุ้นส่วน” นี่เอง เสมือนเราไปเป็นเจ้าของกิจการคนหนึ่งเลย เพราะฉะนั้นแล้วนั่นจึงทำให้เจ้าคำว่า “การถือหุ้น” นั้นสื่อถึงการแสดงความเป็นเจ้าของในบริษัทที่เราได้ถือหุ้นนั่นเอง

 

ทำไมบริษัทต้องเปิดให้ถือหุ้นกันนะ?

เป็นธรรมดาที่ว่าเมื่อกิจการ หรือบริษัทต่าง ๆ ได้ตั้งใจจะขยายธุรกิจของพวกเขาเพื่อให้เกิดการเติบโต และมีรายได้ที่มากขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัว พวกเขาทั้งหลายนั้นต่างต้องใช้ “เงินทุน” ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเพื่อไปจ้างพนักงานใหม่ ไปลงทุนในต่างประเทศ หรืออะไรก็ตามแต่ เงินทุนคือสิ่งสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดการขยับขยายทั้งสิ้น แต่ก็ใช่ว่าการไปกู้หนี้ยืมสิน หรือเอาผลกำไรที่มีทั้งหมดของบริษัทมาใช้จะเป็นเงินทุนนั้นคือหนทางที่ดี เพราะนั่นจะทำให้บริษัทเกิดสภาวะขาดสภาพคล่อง และมีความเสี่ยงที่จะไปไม่รอดสูงมาก เนื่องจากรายรับ และรายจ่ายไม่สมดุลกันนั่นเอง

 

ด้วยเหตุผลประการทั้งปวงเหล่านี้ “การเปิดให้ถือหุ้น” จึงถือกำเนิดขึ้น

 

การให้คนธรรมดาอย่างเรา ๆ มีสิทธิ์ได้ถือหุ้น ถือเป็นอีกรูปแบบของการระดม “เงินทุน” เพื่อไปใช้ในกิจการ เพราะการที่เราทุกคนจะถือหุ้นได้ เราก็ต้อง “ซื้อ” มันมาถูกไหมล่ะ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ระบุไปแล้วข้างต้นว่า เมื่อเรามีหุ้น ไม่ว่าจะมาก หรือน้อย เราก็ถือเป็นเจ้าของกิจการทั้งสิ้น และสิ่งที่จำนวนหุ้นในมือเรานั้นบอกก็คือ “อำนาจ” ที่เรามีนั่นเอง

 

ยกตัวอย่างเช่น หากเราถือหุ้นในจำนวน 51% ของหุ้นที่มีทั้งหมด เราก็จะขึ้นเป็นเจ้าของบริษัทเต็มตัวในทันที

 

เราทั้งหลายจะได้อะไรจากการถือหุ้น?

บอกได้เลยว่าสิ่งที่ทำให้การลงทุนผ่านหุ้นนั้นเป็นที่นิยมมาก ๆ ก็เป็นคุณประโยชน์อันหลากหลายของมันนั่นเอง ซึ่งจะสามารถแบ่งได้เป็น 3 ข้อหลัก ๆ ดังนี้

  1. ลงทุนหุ้นแล้ว... ได้เป็นเจ้าของกิจการ : ข้อที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของใครหลาย ๆ คนที่ฝันอยากจะมีกิจการในครอบครองเลยก็ว่าได้ ซึ่งเรานั้นสามารถเข้าร่วมการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อลงคะแนนเสียงในการตัดสินใจครั้งสำคัญของบริษัทได้ด้วยนะ
  2. ลงทุนหุ้นแล้ว... ได้เงินปันผล : ข้อนี้ก็ถือว่าสำคัญไม่แพ้กัน เพราะคงไม่มีใครอยากให้เอาเงินส่วนตัวของเราไปหมุน หรือไปใช่เล่น ๆ แล้วไม่ได้อะไรตอบแทนใช่ไหมล่ะ นั่นจึงทำให้ในทุก ๆ ปี ผู้ถือหุ้นอย่างเรา ๆ จะได้เงินปันผล ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นที่เราถือ และปัจจัยด้านผลกำไรที่บริษัทนั้นทำได้
  3. ลงทุนหุ้นแล้ว... ได้ส่วนต่างจากการขายหุ้น : ราคาของหุ้นนั้นมีขึ้น และลงเสมอ เนื่องจากเมื่อบริษัทมีผลประกอบการดีอย่างต่อเนื่อง มีโอกาสเติบโตยาว ๆ ใคร ๆ ก็ต่างสนใจจะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้น และด้วยความต้องการ และแรงซื้อที่มาก นั่นจึงผลักดันให้ราคาของหุ้นสูงขึ้นนั่นเอง ซึ่งหากเรามองเห็นแล้วว่าหุ้นที่มีในมือนั้นมันโตมาถึงจุดที่เราพอใจ เราก็สามารถขายมันให้กับคนอื่น ๆ ที่เขาต้องการถือหุ้นตัวนี้ต่อได้นั่นเอง

 

ข้อควรระวังในการลงทุนกับหุ้น

ใช่ว่าการลงทุนหุ้นนั้นจะเป็นขุมทรัพย์ที่ไม่ว่าใครจะเข้าวงการนี้แล้วก็จะมั่งมีไปทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่มาตามผลกำไรมหาศาลเหมือนเป็นเงาตามตัวก็คือ ความผันผวนสูงนั่นเอง

 

เจ้าความผันผวนที่ว่านี้ก็คือ ราคาของมันนั้นมีขึ้น และมีลง ไม่มีความแน่นอน บางทีเราอาจจะเข้าซื้อหุ้นตอนที่แพงมาก ๆ แต่ทว่าภาพรวมของเศรษฐกิจดันเจอวิกฤตเอาเสียดื้อ ๆ (เหมือนที่เราทุกคนโดนพิษโควิด) นั่นก็ทำให้ราคาของหุ้นในมือเราดิ่งลงพสุธาแทบจะทันที ลงไปเป็นหมื่น ๆ อาจจะเหลือหลักพันก็เป็นได้

 

นอกจากปัจจัยทางเศรษฐกิจภาพรวมแล้ว ปัจจัยเกี่ยวกับการดำเนินการของบริษัทก็เป็นเรื่องที่ส่งผลต่อราคาหุ้นเช่นกัน เพราะไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่การันตีได้อย่างครบถ้วน 100% ว่าบริษัทที่เรานำเงินไปลงทุนด้วยนั้นจะมีผลประกอบการที่เลิศหรูดังที่พวกเขาวางเป้าหมายเอาไว้ และผลที่ไม่เป็นตามคาดนี่แหละ ก็ทำให้ราคาหุ้นนั้นดิ่งลงได้เช่นเดียวกัน

 

เป็นยังไงกันบ้าง? มาถึงตรงนี้แล้วเชื่อได้เลยว่าเพื่อน ๆ รู้จักเรื่องพื้นฐานของ “หุ้น” แบบทะลุปรุโปร่งอย่างแน่นอน! เพราะฉะนั้นหากเพื่อน ๆ สนใจการลงทุนรูปแบบนี้ อย่าลืมศึกษาหาความรู้แบบเจาะลึกอีกสักนิด และลงทุนกันอย่างระมัดระวังนะ

 

บทความ: MULA Learning
รูปประกอบ: MULA Learning

 

  • แชร์