Global searching is not enabled.
Skip to main content

Blog entry by Anuntapong Chuen-im

ทำอย่างไรดี? เมื่อถูกเลิกจ้างกะทันหัน

รู้หรือไม่ว่า วิกฤตครั้งยิ่งใหญ่จาก COVID-19 นั้นส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจของนานัปประเทศไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย ซึ่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันดังกล่าวได้ทำคนไทยกว่า 6 ล้านคน ตกงานในทันที บางคนที่โชคดีไม่ตกงาน ก็ยังโดนกระทบต่อรายได้ และความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน เรียกได้ว่าโดนผลกระทบกันทุกภาคส่วนเลยจริง ๆ

 

ทั้งนี้หากเพื่อน ๆ นั้นเป็น 1 ใน 6 ล้านคน ที่ต้องเผชิญกับปัญหาการตกงานแล้วล่ะก็ อย่าเพิ่งเสียใจไปนะ เพราะวันนี้เราขออาสามาเป็นพระเอกขี่ม้าขาว ที่จะนำเทคนิคดี ๆ ที่ใช้ได้จริงในการรับมือกับการตกงานแบบสายฟ้าแลบ มาช่วยเหลือเพื่อน ๆ แล้ว

 

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ไปดูเทคนิคเหล่านี้กันได้เลย!

 

  1. ติดต่อสำนักงานประกันสังคมให้ด่วนที่สุด

หนึ่งในทางออกเบื้องต้นสำหรับคนตกงาน และว่างงานในช่วงนี้ ก็คือการตรวจสอบสิทธิประโยชน์เงินทดแทนรายได้จากกองทุนประกันสังคม ซึ่งผู้ที่จะได้รับสิทธิ์นั้นต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมของตนมาแล้วเป็นระยะเวลา 6 เดือน ขึ้นไป ในกรอบเวลา 15 เดือนก่อนการว่างงาน กองทุนประกันสังคมก็พร้อมที่จะจ่ายเงินทดแทนให้เพื่อน ๆ โดยเกณฑ์การได้รับเงินทดแทนนั้นมี 2 แบบก็คือ

  1. การลูกเลิกจ้าง ซึ่งเพื่อน ๆ จะได้รับเงินทดแทนช่วงว่างงานปีละไม่เกิน 180 วัน ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ย
  2. การลาออก หรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง เพื่อน ๆ จะได้รับเงินทดแทนระหว่างการว่างงานไม่เกิน 90 วันในแต่ละปี ด้วยอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้างเฉลี่ย

 

ทั้งนี้ฐานเงินสมทบขั้นต่ำจะอยู่ที่ 1,650 บาท และขั้นสูงสุดจะไม่เกิน 15,000 บาท หรือพูดง่ายๆ คือ ถ้ามีเงินเดือนมากกว่า 15,000 บาท เพื่อนจะสามารถเบิกค่าชดเชยว่างงานได้วันละ 150 บาท เดือนละไม่เกิน 4,500 บาท นั่นเอง

 

ซึ่งเอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับยื่นเรื่องขอรับสิทธิ์ก็คือ สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารที่กำหนด, แบบคำรองรับผลประโยชน์กรณีว่างงาน (สปส. 2-01/7) (ขอได้ที่ประกันสังคม), หนังสือรับรองการลาออกจากบริษัท และหนังสือคำสั่งนายจ้างหากจ้างออก (ถ้ามี)

 

  1. รีบเช็คสิทธิ์รับเงินชดเชยรายได้

นอกจากเพื่อน ๆ จะมีสิทธิ์ได้รับเงินชดเชยสำหรับการว่างงานจากประกันสังคมแล้ว เรายังมีการคุ้มครองอีกด้านที่จะสามารถช่วยให้เพื่อน ๆ ผ่านพ้นวันอันแสนยากลำบากไปได้ โดยอ้างอิงตาม พรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 ว่าด้วยเรื่องการคุ้มครองจากการเลิกจ้างโดยที่ไม่ได้ลาออกเองโดยสมัครใจ ซึ่งเพื่อน ๆ สามารถทำข้อตกลงกับนายจ้างเพื่อขอรับเงินชดเชยตามอายุการทำงาน โดยจะมีกรอบกำหนดดังนี้

  1. ทำงานไม่ถึง 1 ปี แต่ไม่น้อยกว่า 120 วัน : รับเงินชดเชยเป็นค่าจ้าง 1 เดือน
  2. ทำงานมากกว่า 1 ปี แต่ไม่ถึง 3 ปี : รับเงินชดเชยเป็นค่าจ้าง 3 เดือน
  3. ทำงานมากกว่า 3 ปี แต่ไม่ถึง 6 ปี : รับเงินชดเชยเป็นค่าจ้าง 6 เดือน
  4. ทำงานมากกว่า 6 ปี แต่ไม่ถึง 10 ปี : รับเงินชดเชยเป็นค่าจ้าง 8 เดือน
  5. ทำงาน 10 ปีขึ้นไป : รับเงินชดเชยเป็นค่าจ้าง 10 เดือน

 

ทั้งนี้ เจ้าเงินชดเชยในส่วนนี้สำคัญมาก เพราะเป็นสิทธิที่ลูกจ้างจะได้รับหากต้องออกจากงานโดยไม่มีความผิด ฉะนั้นแล้วอย่าลืมรักษาสิทธิ์ของตัวเองให้ดีล่ะ

 

  1. หาที่ปรึกษาทางด้านการเงิน และการจัดการหนี้

หากเพื่อน ๆ เป็นคนที่มีหนี้ และดันมาตกงานแบบสายฟ้าแลบแล้วล่ะก็ การมีที่ปรึกษาดี ๆ สักราย หรือแม้แต่แหล่งเงินกู้ที่เชื่อถือได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่น้อย เพราะใครจะไปรู้ล่ะ... ว่ากว่าจะหางานได้ใหม่นั้นจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่? ถูกไหม? บางคนอาจจะแค่เป็นเดือน บางคนอาจจะกินเวลาไปถึงครึ่งปี ซึ่งหากช่วงนี้เราขาดรายได้แถมยังไม่มีคนคอยให้คำปรึกษาด้วยล่ะก็ รับรองว่าทั้งเครียด ทั้งเหนื่อยอย่างแน่นอน ฉะนั้นอย่าลืมใช้มองหาผู้ช่วยทางด้านการเงินเป็นอันขาดเลย

 

  1. รู้จักใช้บัตรเครดิตอย่างถูกวิธี

เมื่อเงินสดขาดมือ สิ่งที่จะช่วยเยียวยาเราได้เป็นอย่างดีนั่นก็คือสินเชื่อจากบัตรเครดิต แม้ต้องยอมแลกกับอัตราดอกเบี้ยไปบ้างก็เถอะ แต่ก็ดีกว่ามีแต่มือเปล่าถูกไหมล่ะ? ฉะนั้นนี่จึงเป็นอีกทางออกที่จะช่วยให้คุณผ่านวันอันยากลำบากไปได้ ทั้งนี้สิ่งที่พึ่งระวังก็คืออย่าให้เงินจนเกินตัวล่ะ เพราะมันจะเป็นการเพิ่มพูนนี้ก้อนโตเกินจินตนากรเลยทีเดียว

 

  1. หาอาชีพเสริมทำแก้ขัดไปก่อน

การมีอาชีพเสริมเล็ก ๆ น้อย ๆ หลังจากที่โดนเลิกจ้างแบบฟ้าฝ่าก็ถือเป็นอีกหนทางที่จะทำให้เรานั้นมีเงินเข้ามาจุนเจือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ แม้จะไม่มากเท่าเงินเดือนของงานประจำแต่ก่อน แต่ก็ดีกว่าไม่มีรายรับเข้ามาเลยถูกไหมล่ะ?

 

ซึ่งสมัยนี้นั้นด้วยการที่แทบทุกอย่างอยู่บนโลก “ออนไลน์” นั่นทำให้มีอาชีพรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการขายรูปออนไลน์ที่เรานั้นไม่จำเป็นต้องถึงระดับมือโปรอะไรเลย เพียงแค่มือถือเครื่องเดียวก็เอาอยู่ หรือแม้แต่การผันตัวมาทำเพจออนไลน์เพื่อบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ ถือเป็นอีกโอกาสที่จะสร้างรายได้ให้กับเราไม่วันได้ก็วันหนึ่ง

 

นอกจากนี้งานพิเศษแบบออฟไลน์เหมือนสมัยก่อนก็ยังคงมีอยู่ เช่น การทำงานพาร์ทไทม์ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานตามคาเฟ่ – ร้านกาแฟ, เป็นแคชเชียร์ตามห้างสรรพสินค้า รับจ้างแต่งหน้า รับจ้างถ่ายภาพ เป็นต้น ทั้งนี้ข้อสำคัญของงานพาร์ทไทม์ก็คือ เราอาจจะได้ทักษะ หรือประสบการณ์บางอย่าง เพื่อทำมาต่อยอดกับงานที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปได้ด้วย เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้หลายนกหลายตัวเลยทีเดียว

 

  1. กัดฟันสู้ ลุกขึ้นมาหางานใหม่

แม้การหางานอาจจะฟังดูเป็นเรื่องยากในสถานการณ์แบบนี้ แต่ก็ใช่ว่าตลาดแรงงานโดยรวมจะซบเซาไปซะทั้งหมด เพราะยังมีบางอาชีพที่ยังคงยืนหยัดได้ในช่วงเวลาแบบนี้ ฉะนั้นแล้วเราต้องเปลี่ยนความท้อแท้ ให้กลายมาเป็นไฟอันลุกโชน ลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ ๆ ที่ตัวเองไม่เคยทำ และเดินหน้าหางานใหม่อีกครั้ง

 

  1. เปลี่ยนมาเป็นเจ้านายตัวเองดูบ้าง

หลาย ๆ คนที่ตกงานในช่วงนี้อาจไม่ใช่แค่เด็กรุ่นใหม่ เพราะคนมากประสบการณ์ก็เจอพิษโควิด 19 ได้เช่นเดียวกัน ฉะนั้นหากเรามีทุนอยู่สักก้อนหนึ่งจากการเลิกจ้างงาน บ้างครั้งการหันมาทำสิ่งที่เรารัก และกลายเป็นนายตัวเองอาจจะเป็นทางที่ดีที่สุดในการรับมือกับปัญหานี้ โดยอาศัยประสบการณ์จากที่เคยทำงานประจำมาประยุกต์ใช้ ถึงเวลาที่สถานการณ์ปกติดี ธุรกิจเราก็พร้อมโลดแล่น และแสดงศักยภาพให้คนมากมายเห็นได้ในทันที!

 

ซึ่งถ้าหากให้เราแนะนำแล้วล่ะก็... สำครับใครหลาย ๆ คนที่ฝันอยากเป็นเจ้าของกิจการ การเริ่มต้นเดินสายเป็นพ่อค้า – แม่ค้าออนไลน์ ถือเป็นวิธีที่ดีมาก ๆ เพราะนอกจากจะทำเวลาไหนก็ได้ตามที่ตัวเราเองสะดวกแล้ว ยังประหยัดเงินลงทุนมากกว่าการขายในตลาดแบบสมัยก่อนเยอะเลยทีเดียว เพราะค่าเช่าที่ก็ไม่ต้องเสีย ไม่ต้องไปนั่งตากแดดตากลมขายให้เหนื่อย มีแค่สมาร์ทโฟนเครื่องเดียวก็เริ่มกิจการได้

 

เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว เพื่อน ๆ หลายคนที่กำลังกังวลว่าจะไร้ทางออกหากตกงานแบบสายฟ้าแล่บคงสบายใจมากขึ้นเป็นแน่แท้ ทางเรา ก็ขอเป็นอีกหนึ่งแรงใจ ที่คอยสนับสนุนให้เพื่อน ๆ ก้าวพ้นทุกอุปสรรคที่เผชิญ รับรองได้เลยว่าหากเราไม่ก้มหน้ายอมแพ้ต่อโชคชะตา วันที่สดใสของเราต้องมาถึงอย่างแน่นอน

บทความ: MULA Learning
รูปประกอบ: MULA Learning


  • Share